Tuesday, May 11, 2010

Super Grand Cycle

Super Grand Cycle
คุยกับลุงโฉลก

ตลาดหุ้นมี Super Grand Cycle ประมาณ 40 ปี ประเทศสารขันธ์เริ่มมีตลาดหุ้นตั้งแต่สมัย ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ในปี 1975 และเจริญรุ่งเรืองมาโดยตลอด ครึ่ง Cycle ประมาณ 19 ปี จนถึงปี 1994 เมื่อดรรชนีตลาดหลักทรัพย์ Peak ที่ 1800 หลังจากนั้นความหายนะก็เริ่มต้น เมื่อได้นายกชื่อเติ้งเสี่ยวหาร ตามมาด้วยพลเอกชวลิต หวานเจี๊ยบแต่พูดไม่รู้ภาษาคน เจ้าของตำนานต้มยำกุ้ง ตลาดลดลงเหลือ 205 คนทั้งประเทศต้องยากจนลงหมดทุกคน เพื่อสังเวยความโลภของ น.ช. ทักษิณ กินเป็นวัตร ผู้เข้ามากอบโกย Wealth ส่วนที่เหลือของประเทศชาติไปจนหมดสิ้น



เราเห็นได้จากสภาพของ Elliott waves ขาขึ้น 1-2-3-4-5 และขาลง ที่เพิ่งจะเป็น Wave A - B ซึ่งจบ sub-wave 1 (ใน 5 waves) หลังจากการทำลายล้างของนายสมัคร สุนทรราช ชิมไปแดกไป และ Playboy ลามก สมชาย วงศ์สวาท วันนี้เราได้นายกใหม่ชื่อนายอภิสิทธิ์ เทพประธาน ตลาดจบ sub-wave 1 (ใน 5 waves) และกำลังจะขึ้นเป็น sub-wave 2 คาดว่าจะใช้เวลา 1-2 ปี และตามมาด้วย sub-wave 3-4-5 เป็นการจบ Major wave [C] ในที่สุด

Weekly chart shows ADX เปลี่ยนทิศทาง หลังจากขึ้นไปสูงกว่า both PDI and MDI อันเป็นสัญญาณจบ down trend ประกอบกับสัญญาณซื้อตามระบบ PnT 1.1 และการ Breakout จาก Standard Error channel ทั้งหมดนี้เป็นสัญญาณซื้อทั้งสิ้น


Daily chart เกิด Bullish convergence และราคา fluctuate อยู่ใน a-b-c ของ wave 2 สัญญาณซื้อครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ น่าจะเป็นการเริ่มต้นของ wave 3

S&P500 Index ก็ดูเหมือนจะเป็นใจ ถ้าตลาดอเมริกาฟื้นตัว บ้านเราก็ฟื้นด้วย คงต้องเฝ้าจับตาดูสถานะการณ์โลกอย่างไกล้ชิด

ถ้าตลาดปรับตัวขึ้นในครั้งนี้ ก็จะเป็นเพียง a rally in a down trend ใครเข้าไปซื้อต้องระวังตัวให้ดี เพราะไม่น่าจะไปได้ไกล เพราะ Fundamental factors ยังไม่มีวี่แววว่าตลาดจะกลับตัวขึ้นไปอย่างจริงจังได้เลย ธนาคารยักษ์ใหญ่ของอเมริกาและกลุ่มประเทศยุโรป ล้มละลายกันเป็นแถว รัฐบาลต้องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเพื่อเข้าอุ้มธนาคารเหล่านั้นเอาไว้ การกระทำนี้ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ชั่วคราว แต่ในระยะยาวจะต้องเกิดปัญหาใหญ่ตามมาแน่นอน ราคาบ้านก็ยังคงตกลงทั่วโลก ยังมองไม่เห็น Bottom และคาดว่า Housing recession นี้จะยืดเยื้อไปอีก 2-3 ปี ประชาชนทั่วโลกไม่กล้าใช้จ่ายเงิน รัฐบาลเองก็ไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้าหมาย ทั้งโลกกำลังอยู่ในสถานะเดียวกันหมด Deep recession สถานะการของโลกจะเลวร้ายลงอีกแน่นอน ก่อนที่จะเห็นหนทางรอดในอีกหลายปีข้างหน้า

ตกลงตลาดจะไปทางไหน Obama จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจของอเมริกาได้หรือเปล่า นักลงทุนรู้ดีว่าตลาด commodity Futures เป็นสัญญาณล่วงหน้าของสภาพเศรษฐกิจ ถ้า Obama จะแก้ปัญหาของอเมริกา ก็ต้องแก้ที่ราคาบ้าน ราคาบ้านจะขึ้นหรือไม่ ดูได้จากราคาไม้ Lumber Futures เกิด Bullish divergence ชัดเจนแล้ว อีกไม่นาน เมื่อ Break out from Standard Error channel และเกิด Buy signal ก็จะเป็นการบ่งชี้ว่า Obama ทำงานได้สำเร็จ และจะส่งผลมาถึง ObaMark อภิสิทธิ์ ของเราด้วย

ในขณะที่สถานะการทางเศรษฐกิจเลวร้ายไปทั้งโลก พวกเราจะเอาเงินไปไว้ที่ไหนดี หลายคนเอาไปซื้อทองคำเก็บเอาไว้ หน่วยลงทุนต่างๆก็คิดเหมือนเรา ทองคำอยู่ในขาขึ้นชัดเจนแล้ว ขณะนี้อยู่ใน Wave 3 ที่ชื่นชอบของนักเก็งกำไร ค่า ADX สูงและมีทิศทางขึ้น ในขณะที่ค่า PDI สูงกว่า เป็นสัญญาณว่าทองคำยังจะไปต่ออีกไกล ไม่ต้องรีบ ขายหมู นะครับ รอสัญญาณ ขายทอง ดีกว่า รอให้จบ Wave 3 เสียก่อน

Silver น่าจะไปได้ดีกว่า Gold แต่ Silver มีขนาด contract ใหญ่มาก ระวัง Margin call ด้วยนะครับ

Platinum ก็เพิ่งจะเริ่มออกจาก down trend ยังมีโอกาสขึ้นได้อีกไกลมาก


Palladium ก็เพิ่งจะเริ่มออกจาก down trend ยังมีโอกาสขึ้นได้อีกไกลมากเช่นเดียวกัน

ตั้งแต่อดีตกาล จนถึงกลางปีที่แล้ว น้ำมันและทองคำ มีราคาไปในทิศทางเดียวกันเสมอ และสวนทางกับค่าเงิน US dollar เดือน November 2008 ทองคำเริ่มขึ้นในขณะที่ Crude oil ลงไม่หยุด ค่าเงิน US Dollar ที่เคยสวนทางกับทองคำ กลับเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับทองคำในเดือน December 2008 และค่าเงิน Euro ตกลงอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เงินน้ำมันเริ่มถ่ายเทจากเงิน Euro และแม้แต่เงิน US Dollar เอง เข้าสู่น้ำมันมากขึ้น ไม่ว่า Obama จะ Change อะไรได้สำเร็จหรือไม่อย่างไร ทองคำน่าจะขึ้นต่ออีก บ้านเรามีคน ขายหมู คือเอาทองคำออกขายที่ราคานี้กันมากมาย ใครยังมีทองคำอยู่ก็ถือเอาไว้ก่อนนะครับ รอ 2 หมื่นขึ้นไปแล้วค่อยขาย

ตลาดยางพาราในบ้านเรามีสัญญาณ Bullish divergence และกำลังสร้าง Flag อันเป็น common characteristic ของ wave 4 อยู่ในขณะนี้ ถ้าราคาน้ำมันของตลาดโลกเพิ่มขึ้น สัญญาณซื้อครั้งใหม่ก็จะเป็น wave 5 มีเป้าหมายอย่างน้อยก็ที่ previous high at around 71

อะไรอะไรในโลกนี้มันไม่แน่ เราไม่สามารถรู้ได้แน่นอนว่าตลาดจะขึ้นหรือลง ได้แต่คาดการในด้าน Probability ของ possibility เท่านั้นเอง การคาดการอย่างนี้ สำคัญที่จิตต้องวางเฉย ไม่ลำเอียงเพราะไปถือ Short หรือ Long positions อยู่เดิม การวางจิตเป็นกลางนี้เป็นส่วนสำคัญที่สุดของการลงทุน เป็นส่วน 60% ที่ต้องพยายามปรัปปรุง การปรับปรุงจิตให้มีกำลัง ต้องอาศัยอาหารของจิตที่ต้องรู้จักเสพให้เหมาะสม และต้องมีการบริหารจิตด้วย ไม่ให้ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสตัณหามากเกินไป อาหารของกายหยาบคือกวฬิงการาหาร ถ้าเรากินอย่างขาดสติ ร่างกายย่อมได้รับโทษ อาหารของกายละเอียดในกายหยาบคือผัสสาหาร กายเทพทั้งหลายล้วนเสวยผัสสะคือปิติเป็นอาหาร มโนสัญเจตนาหารเป็นอาหารของจิต จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมรู้จักเลือกเสพเจตนาที่เป็นกุศล เว้นขาดจากเจตนาที่เป็นอกุศล และวิญญาณาหารเป็นอาหารที่ยังให้วิญญาณสร้างภพสร้างชาติต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ในที่นี้หมายเอาถึงมโนสัญเจตนาหาร อันเป็นอาหารของจิตที่ต้องเลือกเสพให้เหมาะสม เจตนาในการสั่งสมบุญบารมีจึงเป็นอาหารที่เหมาะสมในการบำรุงรักษาจิตของเรา ผู้ที่ไม่มีบุญบารมีที่สร้างมาดีแล้วในอดีต ย่อมพบว่า ไม่สามารถทำตาม ระบบ ได้ ถึงแม้จะตั้งใจเพียงใดก็ตาม เพราะการมีจิตที่เหมาะแก่การงานนั้น ไม่ได้มีมาเพราะการตั้งใจ แต่เป็นผลของการมีสติควบคุมการเสพอาหารของจิต ด้วยการมีสติเตือนตัวเองให้ไม่ว่างเว้นจากเจตนาในการสร้างบุญสร้างกุศลอยู่เสมอ

วันเสาร์ที่ 21 เรามีสัมมะนา CDC 102 คงจะได้พบพวกเราหลายคน ตอนกลางวันจะต้องไปร่วมสัมมะนาเรื่องพายุอสังหาริมทรัพย์ที่คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ วันอาทิตย์ที่ 22 พวกเราจะขับรถขึ้นเชียงใหม่ ไปร่วมกันทำบุญในศาสนาพราหมณ์ ที่เทวาลัยมหาเทพ อำเภอสันทราย ในวันจันทร์ที่ 23 มีที่พักสำหรับทุกคนที่จะไปร่วมงานบุญครั้งนี้ ใครจะไปร่วมงานบุญก็ให้เอาเต้นท์ไปด้วย ไปกางนอนที่สนามหญ้าของเทวาลัย (ในกรณีที่ห้องพักเต็ม) เทวาลัยมีอาหารมังสะวิรัชให้ทุกคนวันละ 3 มื้อ ชมรมของเราจะทำบุญในปีนี้ด้วยข้าวสาร เพราะเทวาลัยแห่งนี้ให้อาหารเป็นทานแก่คนทั่วไปไม่จำกัด ต้องการข้าวสารจำนวนมาก ใครอยากร่วมทำบุญก็แจ้งความประสงค์เข้ามานะครับ ร่วมกันคนละนิดคนละหน่อย เป็นการปลูกฝังมโนสัญเจตนาหารในส่วนที่เป็นกุศล ของอย่างอื่นที่มีประโยชน์ได้แก่น้ำมันพืชสำหรับทำอาหาร และน้ำมันงาสำหรับทำยารักษาโรคต่างๆ ซึ่งเทวาลัยจะเก็บสั่งสมเอาไว้ เมื่อมีปริมาณพอแล้วก็จะมีพิธีกวนน้ำมันงากับสมุนไพรต่างๆ เป็นยารักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยทั่วไปโดยไม่คิดเงินค่ารักษา

แผนที่ทางไปเทวาลัยมหาเทพ กำหนดไปที่ 18.50.54.90 N และ 99.01.00.74 E ออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปทางมหาวิทยาลัยแม่โจ้ มีที่ว่างให้กางเต้นท์อยู่มากมายครับ พวกเราจะออกเดินทางสายๆวันอาทิตย์ ใครอยากจะขับรถตามกันไปก็โทรศัพท์สอบถามเข้ามานะครับ ใครจะทำบุญช้าวสารกี่กิโลก็แสดงความจำนงค์ต่อท้ายบทความนี้นะครับ หวังว่าจะได้ร่วมทำบุญกับพวกเราหลายๆคนตามเคย

ติดประกาศ พฤหัสบดี 19 ก.พ. 09@ 09:32:35 ICT โดย chalerm

Drawdown Analysis

Drawdown Analysis โดย ผู้จัดการออนไลน์
[คอลัมน์] [27 มีนาคม 2551 09:56 น.] รวมข่าวและบทความให้อ่านเพื่อการศึกษาค้นคว้าวิจัย ได้ที่นี่ Boybdream Webdesign


คอลัมน์ คุยกับผู้จัดการกองทุน
โดย ดร.ฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล นักวิเคราะห์การลงทุนอาวุโส บลจ.อยุธยา จำกัด


ในการตัดสินใจลงทุน สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือความเสี่ยงจากการลงทุน สำหรับการประเมินความเสี่ยงในการลงทุน คุณอาจจะประเมินโดยใช้สัญชาตญาณหรือความรู้สึก (intuitive evaluation) เช่น ลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงมากกว่าลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เพราะลงทุนในหุ้นมีโอกาสที่จะขาดทุน แต่ถ้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยตรงแล้วถือจนครบอายุ คุณจะไม่มีโอกาสขาดทุนทางบัญชี เพราะคุณจะได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ยจากรัฐบาล (เว้นเสียแต่ว่ารัฐบาลไม่มีเงินจ่าย) อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง การถือพันธบัตรรัฐบาลอาจทำให้คุณขาดทุนทางมูลค่าทางเศรษฐกิจ (economic value) ได้ถ้าหากว่าอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่คุณถือพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่คุณได้ นอกจากการประเมินความเสี่ยงโดยใช้สัญชาตญาณแล้ว คุณอาจประเมินความเสี่ยงโดยใช้วิธีทางสถิติ (statistical evaluation) ซึ่งสามารถให้ค่าความเสี่ยงออกมาเป็นตัวเลขได้

ในวันนี้ผมขออธิบายวิธีการวิเคราะห์ความเสี่ยง และผลตอบแทนการลงทุนที่เข้าใจง่าย และกองทุนหลายกองทุนในต่างประเทศเริ่มนำเสนอตัวเลขความเสี่ยง และผลตอบแทนที่วิเคราะห์โดยวิธีนี้กันมากขึ้น วิธีที่ว่านี้เป็นวิธีที่เรียกว่า drawdown analysis

Drawdown analysis คือ การวิเคราะห์การปรับตัวขึ้นลงของผลตอบแทนในอดีต วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการดูจากกราฟแสดงความเปลี่ยนแปลงของราคา ซึ่งสามารถบอกถึงความเสี่ยง และโอกาสในการได้ผลตอบแทนได้หลายๆประการ ซึ่งได้แก่

1.Maximum Drawdown หรือ maximum loss หรือ การขาดทุนสะสมสูงสุด ซึ่งเป็นการดูว่าในอดีตที่ผ่านมา ช่วงที่ผลตอบแทนปรับตัวเป็นขาลงในแต่ละช่วง ช่วงใดที่ผลตอบแทนจากจุดสูงสุด (ก่อนที่ผลตอบแทนจะปรับตัวเป็นขาลง) จนถึงจุดต่ำสุดของช่วงนั้น ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุด ตัวอย่างเช่น สำหรับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ช่วงที่ดัชนีปรับตัวลดลงจนเกิดการขาดทุนสะสมมากที่สุดก็คือตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 1,415.04 จุด (ณ วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2539) จนกระทั่งดัชนีปรับตัวลงมาต่ำสุดของช่วงนั้นที่ 207.31 จุด ในปี 2541 (วันที่ 4 กันยายน 2541) ซึ่งการวิเคราะห์ในจุดนี้สามารถบอกได้ว่า ในอดีตที่ผ่านมาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเป็นขาลงยาวนานเท่าใด และส่งผลให้เกิดการขาดทุนเป็นจำนวนเท่าใด หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ความเสี่ยงที่จะเกิดการขาดทุนสูงสุดคือเท่าไร และใช้เวลาในยาวนานแค่ไหนที่จะก่อให้เกิดการขาดทุนสะสม ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ คุณจะขาดทุนสูงสุด 85.35% โดยใช้เวลาประมาณ 30 เดือน

2.ระยะเวลาที่ใช้ในการฟื้นตัวจากการขาดทุนสะสม ก็คือช่วงเวลาที่ใช้ในการคืนทุนจากการขาดทุนสะสมสูงสุด ตัวอย่างเช่น หากคุณลงทุนในวันสุดท้ายก่อนที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะปรับตัวเป็นขาลง (วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2539) แล้วถือหลักทรัพย์ที่คุณลงทุนมาตลอดโดยไม่ได้ทำการซื้อหรือขายแต่อย่างใด ณ ปัจจุบันนี้ คุณยังไม่ได้ทุนคืน ซึ่งคิดเป็นเวลายาวนานกว่า 132 เดือนแล้ว

3.Maximum Gain หรือช่วงเวลาที่ผลตอบแทนปรับตัวเป็นขาขึ้น และสร้างผลตอบแทนในช่วงนั้นได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงอื่นๆในอดีต ตัวอย่างเช่น ในช่วงตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2529 ถึงวันที่ 16 ตุลาคม 2530 ซึ่งเป็นช่วงที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 127.26 จุด ไปถึงจุดสูงสุดที่ 472.86 จุด ก่อนที่ดัชนีจะปรับตัวลง หรือให้ผลตอบแทนสูงถึง 371.57% ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า ในอดีตที่ผ่านมา โอกาสที่คุณจะได้ผลตอบแทนสูงสุดจากการลงทุนที่ลงทุนเลียนแบบดัชนีตลาดหลักทรัพย์คือ 371.57% โดยใช้ช่วงระยะเวลาในการลงทุนประมาณ 15 เดือน

นอกจาก drawdown analysis จะบ่งบอกถึงการขาดทุนหรือกำไรสะสมแล้ว คุณยังสามารถวิเคราะห์แยกผลตอบแทนเป็นช่วงๆได้อีกด้วย เช่น จำนวนเดือนที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก และจำนวนเดือนที่ให้ผลตอบแทนเป็นลบ หรืออาจจะวิเคราะห์ maximum drawdown และ maximum gain ในแต่ละปี เป็นต้น ซึ่งการวิเคราะห์แบบ drawdown ไม่ได้มีหลักตายตัวว่าจะต้องวิเคราะห์แบบใด

จะเห็นได้ว่า การวิเคราะห์ drawdown ไม่ต้องใช้การคำนวณที่สลับซับซ้อนแต่อย่างใด อาศัยเพียงแค่การดูกราฟ และข้อมูลดิบมาร่วมในการวิเคราะห์เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ท่านนักลงทุนควรคำนึงอยู่เสมอว่า ผลตอบแทนในอดีตไม่ใช่สิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนในอนาคต ดังนั้น การวิเคราะห์ drawdown จึงเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ประกอบในการวิเคราะห์ความเสี่ยง และผลตอบแทนของการลงทุนเท่านั้น ท่านนักลงทุนควรวิเคราะห์ความเสี่ยงในแง่มุมอื่นประกอบการลงทุนด้วย

สัปดาห์หน้า ผมจะนำเสนอแนวทางการใช้ drawdown analysis เพื่อดูความเสี่ยง และความสามารถในการบริหารกองทุน เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยในการตัดสินใจเลือกกองทุนครับ

การลงทุนมีความเสี่ยง ท่านนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุนครับ

Saturday, May 8, 2010

เครดิตภาษีเงินปันผล ผลประโยชน์ที่ถูกมองข้าม

โพสต์โดย Kas » 08 พ.ค. 2010 12:16

เครดิตภาษีเงินปันผล ผลประโยชน์ที่ถูกมองข้าม

ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจกับเรื่องการเสียภาษีรายได้ส่วนบุคคลไม่มากนัก ทั้งนี้เนื่องจาก บริษัทที่ทำงานประจำได้คำนวณภาษีจากฐานเงินได้สุทธิและนำภาษีที่หัก ณ. ที่จ่าย ส่งกรมสรรพกรเป็นประจำทุกเดือน สิ่งที่ทำก็คือการกรอกรายละเอียดให้ถูกต้องและยื่นแบบการเสียภาษีให้ทันช่วง ปลายเดือนมีนาคมของทุกๆ ปี

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ value investor นั้น นอกจากการลงทุนในกิจการที่เห็นว่าต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานเพื่อหวังส่วนต่างของ ราคาหุ้นในระยะยาวแล้ว เงินปันผลก็เป็นผลตอบแทนที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าให้ความสำคัญอย่างมาก ช่วงเดือนเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคมของทุกปีจะเป็นช่วงที่นักลงทุนมีความ สุขกันทั่วหน้า เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ได้ทยอยส่งเช็คเงินปันผลมาให้ผู้ถือหุ้น ทุกคนถึงบ้าน ทั้งนี้จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับผลประกอบการและนโยบายการจ่ายเงินปันผลของ บริษัทนั้น ๆ ทั้งนี้มีบริษัทจดทะเบียนจำนวนหนึ่งที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลรายไตรมาส หรือราย 6 เดือน

นักลงทุนจำเป็นจะต้องรู้และเข้าใจเรื่องภาษี เพราะการจ่ายภาษีอากรให้ถูกต้องและครบถ้วนตามกฎหมายกำหนดเป็นสิ่งที่ผู้ลง ทุนจะต้องถือปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ความเข้าใจเรื่องภาษียังอาจช่วยประหยัดรายจ่ายภาษีได้ด้วย สำหรับนักลงทุนประเภทบุคคลธรรมดาจะได้รับยกเว้นภาษีสำหรับ “กำไรจากการขายหลักทรัพย์” หรือ กำไรส่วนต่างราคาจากการซื้อขายหลักทรัพย์ (capital gain) ขณะที่ “เงินปันผล” นั้นบริษัทจะหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 10 นักลงทุนมีสิทธิเลือกที่จะนำเงินปันผลนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีปลายปี หรือไม่ก็ได้ ซึ่งหากเลือกที่จะนำเงินปันผลนั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ปลายปี กรณีนี้จะได้รับเครดิตภาษีเงินปันผล

เพื่อจะให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นผมจะยกตัวอย่างการคำนวณภาษี และ การขอเครดิตภาษีเงินปันผล การคำนวณดังกล่าวเป็นการคำนวณในกรณีที่ผู้ลงทุนไม่มีรายได้อื่น ดังนั้นฐานภาษีจะอยู่ในระดับต่ำสุด หากผู้ลงทุนมีรายได้ประจำหรือรายได้อื่น ต้องนำรายได้ทั้งหมดมารวมกันแล้วจึงคำนวณการเสียภาษีในอัตราที่กำหนด ขอยกตัวอย่างดังนี้

เงินปันผลที่ได้รับ 70,000 บาท (1)

หักภาษี ณ.ที่จ่าย 10% 70,000 x 10% = 7,000 บาท (2)

เงินปันผลรับจริง (1) – (2) 70,000 – 7,000 = 63,000 บาท (3)

ขอเครดิตภาษีเงินปันผลได้ 70,000 x 3 / 7 = 30,000 บาท (4) *, **

ภาษีที่ถูกหักไว้ทั้งสิ้น (2) + (4) 7,000 + 30,000 = 37,000 บาท (5)

หากไม่มีรายได้อื่น จะมีรายได้ (1)+(4) 70,000 + 30,000 = 100,000 บาท (6)

หักค่าลดหย่อนส่วนตัว = 30,000 บาท

รายได้เหลือหลังค่าลดหย่อน = 70,000 บาท

เงินได้พึงประเมินต่ำกว่า 80,000 บาท ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ ***, ****

แต่เนื่องจากเงินได้จากเงินปันผลนี้ไม่ใช่เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และมียอดตั้งแต่ 60,000 บาทขึ้นไป

จึงต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้ร้อยละ 0.5 ของเงินได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย

ในกรณีนี้คือ 100,000 x 0.5% = 500 บาท (7)

ขอเงินภาษีคืนส่วนชำระเกิน (5) – (7) 37,000 – 500 = 36,500 บาท (

เงินปันผลได้รับจริง (3)+( 63,000 + 36,500 = 99,500 บาท (9)

หมายเหตุ
* บริษัทจดทะเบียนเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30 จึงสามารถขอเครดิตภาษีคืนได้ในอัตรา 3/7 ดังนั้นผู้ที่มีรายได้ที่ต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 37 จะไม่มีโอกาสได้รับประโยชน์จากการของเครดิตภาษีปันผล

** ถือเป็นเงินได้พึงประเมินและให้ถือเป็นภาษีเงินได้ถูกหัก ณ. ที่จ่ายด้วย

*** เงินได้สุทธิ 80,000 บาทแรก ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตั้งแต่ปีภาษี 2546 เป็นต้นไป

ในตัวอย่างดังข้างต้น เงินปันผลจริงที่ได้รับคือ 99,500 บาท ไม่ใช่ 63,000 บาทอย่างที่เข้าใจ หรือสามารถขอเครดิตภาษีปันผลคืนได้ 36,500 บาท นับว่าไม่น้อยเลย ตัวอย่างดังกล่าวเป็นการคำนวณสำหรับบริษัทที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลใน อัตราร้อยละ 30 จึงสามารถขอเครดิตภาษีคืนได้ในอัตรา 3/7 หากบริษัทเสียภาษีเงินได้ในอัตราร้อยละ 25 ก็จะสามารถขอเครดิตภาษีคืนในอัตราลดลงมาคือ 1/5 หรือมาจาก 25 / ( 100-25) นั่นเอง อนึ่งสำหรับบริษัทที่ได้สิทธิยกเว้นในการเสียภาษี เราไม่สามารถนำมาขอเครดิตภาษีเงินปันผลได้ สำหรับผู้ถือหุ้น PTTEP จะได้ประโยชน์จากการขอเครดิตภาษีเงินปันผลอย่างมากเพราะ PTTEP เป็นธุรกิจที่ได้รับจากกิจการตามพระราชบัญญัติปิโตเลียม พ.ศ. 2541 ซึ่งเสียภาษีเงินได้นิติลบุคคลในอัตราร้อย 50 นั่นหมายความว่า ผู้ถือหุ้นของ PTTEP สามารถขอเครดิตเงินภาษีเงินปันผลได้ทั้งจำนวนนั่นเอง

หากจะอธิบายง่าย ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือ มีการเสียภาษีซ้ำซ้อนเนื่องจาก บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรได้ชำระภาษีนิติบุคคลแล้ว ขณะที่ผู้ลงทุนนั้นนำเงินปันผลมาคำนวณเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาอีกครั้ง หนึ่ง ทางการจึงอนุญาตให้นักลงทุนประเภทบุคคลธรรมดามีสิทธิเลือกที่จะนำเงินปันผล นั้นมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีปลายปีเพื่อขอเครดิตภาษีปันผล ทั้งนี้นักลงทุนที่มีฐานภาษีอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำจะยิ่งได้ประโยชน์มากขึ้น การขอเครดิตภาษีเงินปันผลนี้จะเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่มีราย ได้ประจำหรือวัยหลังเกษียณเนื่องจากไม่มีฐานภาษีดังตัวอย่างข้างต้น

สำหรับผมนั้นมองข้ามการขอเครดิตภาษีเงินปันผลมาหลายนาน นับจากนี้อัตราภาษีที่จ่ายของแต่ละบริษัทถือเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจลง ทุน เนื่องจากผลประโยชน์เพิ่มเติมจากการขอเครดิตภาษีเงินปันผลดังกล่าว คำถามก็คงอยู่ที่ว่าท่านพร้อมที่จะให้ความสนใจกับผลประโยชน์ที่ควรจะได้รับ นี้ หรือยังคงละเลยผลประโยชน์ส่วนนี้ต่อไปอีก

ที่มา
จาก ThaiVI
Kas
โพสต์: 53
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.พ. 2010 23:26